วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การชำระล้างออร่าแบบธิเบต

            อิอิ หายไปนานเลยค่ะ ภารกิจของชาตินี่มันยุ่งเหยิงจริงๆ...อุ๊ยๆ ล้อเล่น... ภารกิจประจำวันค่ะ ว่ากันต่อเลยนะคะจากบทที่แล้ว

            ภายใต้ศาสตร์เร้นลับสายวัชรยานที่เลื่องลือมานานแสนนาน  ในเรื่องการฝึกฝนจิตที่ไม่ค่อยจะแผ่หลายออกไปให้นักปฏิบัติรู้อย่างกว้างขวางนัก
            ในแนวคัมภีร์ลับคุรุปัทมาสัมภะวะที่ถ่ายทอดให้เฉพาะระหว่างครูกับลูกศิษย์เท่านั้น  ได้เปิดเผยถึงวิธีการปฏิบัติ  4 ขั้นเพื่อความบรรลุแห่งการชำระล้าง  โดยเมื่อรับศิษย์เข้ามาปฏิบัติในขั้นใดๆก็ดี  ศิษย์จะต้องไม่แพร่งพรายความรู้นี้ไปให้คนอื่น รักษาความรู้ไว้เฉพาะตนเองและศิษย์จะไม่ทราบถึงขั้นตอนการปฏิบัติในขั้นที่
             อาจารย์ได้กำหนดให้ทำโดยไม่ปริปากตั้งคำถามแม้แต่คำเดียว เพราะยิ่งจิตใจมุ่งมั่นมากขึ้นเท่าใดเวลาที่จะปฏิบัติในขั้นตอนแรกนี้ จะลดสั้นลงเท่านั้น
โดยรวมแล้วกล่าวได้ว่าการชำระล้างออร่า แนวธิเบตนี้มีวิธีของสีเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงอาจจะผ่านทางจินตนาการ

            ภูมิปัญญาของตันตริกหมวกดำ และวัชรปรัชญาที่ว่า สีคือความว่าง และความว่างคือสี ทั้งสีและความว่างไม่สามารถแยกความแตกต่างจากกันได้
             ”ถ้า สี ที่มองเห็นได้แทนการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่างล่ะก็ ความว่าง ที่มองเห็นไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวมันเองเป็น ความไม่มีอะไร ความว่างคลอบคลุมทั้ง การมีบางสิ่งบางอย่าง และ ความไม่มีอะไร ไว้ในตัวมันเองอย่างขัดแย้งกันเอง ตัวอย่างเช่น คนจีนจะเรียกอากาศว่า ชี่ที่ว่างเปล่า ในขณะที่ถุงอากาศอัน ว่างเปล่า อาจหมายถึง ความไม่มีอะไร  สำหรับคนทั่วไปเพราะมันทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์อาจเปลี่ยน ความไม่มีอะไร นี้ให้เป็น การมีบางสิ่งบางอย่าง โดยวิเคราะห์องค์ประกอบทางกายภาพอันสลับสับซ้อนของมัน ดังนั้น การมีบางสิ่งบางอย่าง และ ความไม่มีอะไร  จึงประกอบกันขึ้นเป็นด้านที่แตกต่างกันของ ความว่าง และ การมีบางสิ่งบางอย่าง การมีบางสิ่งบางอย่าง สำหรับบางคนอาจเป็น ความไม่มีอะไร สำหรับคนอื่นแต่ทั้งสองอย่างนี้อาจทั้งอยู่ด้วยกันหรืออาจแยกจากกัน ทั้งนี้แล้วแต่ความประจวบเหมาะในเงื่อนไขต่างๆ ที่นำไปสู่การแปลความหมายของเต๋าหรือวิถีพุทธะ กล่าวคือเต๋าประกอบด้วยอินและหยาง ซึ่งประกอบขึ้นเป็นองค์ รวมทั้งหมดของสรรพสิ่งที่ดำเนินไปตามหลักธรรมชาติ มโนทัศน์ของเต๋านี้ประยุกต์ใช้กับภาวะขึ้นๆ ลงๆ ของสรรพสิ่ง เช่นเดียวกับการเชื่อมโยงจักรวาล และชีวิตมนุษย์กับความกลวงเปล่าอันยิ่งใหญ่หรือนิพพานเข้าด้วยกัน เสมือนกระบวนการแห่งชีวิต, การตาย และการเกิด ที่หลีกเลี่ยงกรรมไม่ได้นั้นเป็นทุกข์ ด้วยกิเลสตันหาของมนุษย์นั่นเอง ที่เป็นเหตุแห่งกรรมทุกข์ และการเวียนว่ายตายเกิด การตระหนักรู้ว่าชีวิตและวัตถุเป็นเพียงมายาทำให้มนุษย์แต่ละคนบรรลุถึงความรู้แจ้ง และภาวะสูงสุดแห่งการรู้แจ้งคือนิพพาน อันเป็นสภาวะแห่งแสงออร่าที่โชติช่วงสว่างไสว เหลือประมาณ 7 สี ที่หมายถึงภาวะที่หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา และการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่ความว่าง ถึงจิตสูงสุดคือ ปราศจากสรรพสิ่งมีสภาพเป็นสูญกายสายรุ้งกลับไปสู่ธรรมชาติที่แท้จริง ในความกลวงเปล่าที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดมีทุกสิ่งและไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างในนิยามได้ด้วยกาละ และเทศะ เสมือนภาพในจักรวาลคุณไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดๆได้แต่อย่างไรก็ตามเมื่อแสงหรือพลังงานผ่านแท่งปริซึม คุณจะมองเห็นสีสายรุ้ง หากปราศจากแท่งแก้วปริซึมก็มีแต่แสงเท่านั้นที่ดำรงอยู่ทว่ามองไม่เห็น
             ดังนั้นสเปคตรัมจึงสื่อความหมายของ สีคือความว่าง หลินหยุน นักปรัชญาสี อธิบายว่าเจ็ดสีสเปคตรัมเป็นอุปกรณ์สำหรับการทำสมาธิของลามะธิเบตในนิกายตันตริกดำ และตรันตริกแดง เมื่อพวกเขาทำสมาธิได้ในระดับสูงสุดพวกเขาจะเพ่งไปที่สีทั้งเจ็ด ซึ่งอันตรธานกลายเป็นแสงออร่ามรกตทองก่อนไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
  

            ศาสตร์แห่งการชำระล้างออร่าแนวธิเบต ถือว่ามีความลึกซึ้ง พิสดารเกินจะหยั่งถึงมีการชำระล้างเบญจธาตุที่หมายถึงพลังของธาตุธรรมชาติได้แก่ธาตุไฟ, ธาตุไม้, ธาตุทอง (โลหะ) และธาตุน้ำ ธาตุทั้งห้านี้มิใช่เนื้อสารทางกายภาพแต่เป็นอำนาจและแก่นแท้ของรูป และนามแห่งสรรพสิ่ง
            เมื่อผมได้เข้าเฝ้าองค์ทะไลลามะประมุขแห่งศาสนาพุทธวัชรยาน  ณ ธรรมศาลา  ของอินเดีย  ในอ้อมกอดของหิมาลัยนั้น  ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  
         “ เราทุกคนคือผู้ที่อยู่ในห้วงทุกข์จากการดิ้นร้นในวัฏสงสาร การเข้าสู่การเป็นแสงจะเป็นการชำระล้างได้ด้วยวิธีการฝึกจิต  และพัฒนาออร่ารัศมีเรือนกายและจิตวิญญาณภายในเท่านั้น
            นานเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่........
            นานเท่าที่ยังมีการเวียนเกิดอยู่........
            นานเท่าที่ยังมีผู้คนทุกข์อยู่.......
            อาตมาก็จะขออยู่.......
            เพื่อขจัดความทุกข์ยากของโลกนี้  ( โอฆสงสาร  )  
           คำกล่าวข้างต้นนี้  เป็นปณิธานพระโพธิสัตว์ที่สืบทอดกันมานานแสนนาน  ที่มักจะตอกยํ้าอยู่บ่อยๆ  ในพระราชดำรัสของ ( เตนซิน  กยัสโส )  ทะไลลามะองค์ที่  14 ของธิเบตองค์ปัจจุบัน



           อย่างไรก็ตามการตระหนักถึงทุกๆเซลล์  หรืออณูแห่งร่างกายและจิตวิญาณในฐานะของความเป็นแสงสว่าง  เพื่อการชำระล้างออร่า  ขึ้นสูงสุดนั้น  ในคัมภีร์มรณะที่ชื่อว่า  บาร์เดล  - โธดอล  ( The  Tibetan Book of Dead  )  หรือ  Bardo Thodoi  ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญ  ที่จะไขประตูลี้ลับ  กฤษณาของโลกวิญญาณที่พระลามะธิเบตเขียนขึ้น  เพื่อเปิดเผยถึงชีวิตเบื้องหลังความตาย  ตายแล้วไปไหน  มีอะไรบ้างหลังความตาย  ปริบทที่เริ่มตั้งแต่การเตรียมสติก่อนสิ้นใจ  การเคลื่อนที่ขั้นแรกของวิญญาณ  การเคลื่อนที่ขั้นที่สองของวิญญาณ  การเข้าสู่สัจธรรมของวิญญาณ  จนถึงการจุติใหม่  และการเดินทางของวิญญาณในภาคภูมิต่างๆ  ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง  อันวิจิตรตระการ  49 วัน  หลังจากการสิ้นลม  ( แต่ไม่นับรวมสามวันแรกที่ตายให้นับไปอีก  49 วัน  )  ปฏิโลมนัยของแสงย่อมบอกถึงภาวะแห่งจิตที่เข้ามาเกี่ยวข้อง  ตั้งแต่แสงเจ็ดสีของโลกวิญญาณ  แสงกระจ่าง  ,  แสงดำบนท้องฟ้า  ,  แสงแดงบนท้องฟ้า  ,  แสงขาวบนท้องฟ้า ,  แสงจากตะเกียงนํ้ามันเนย  ,  แสงแห่งหิ่งห้อย  , แสงแห่งควันไฟ  , แสงแห่งภาพลอย 
            ทั้งหมดคือมณฑลแห่งออร่าที่องค์ปัทมะสัมภาวะ  ได้กล่าวไว้ในโลกแห่งความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่
            การชำระล้างออร่าแบบธิเบตนี้ยังมีวิธีการชำระล้าง 9 ครั้งแบบนังปะ ที่คุณอรอุมา แววศรี  ค้นคว้ามาเปิดเผยว่า
            ในคัมภีร์ตันตระ  ของธิเบตได้ระบุถึงวิธีการต่างๆที่ช่วยให้เราสามารถหยุดมิให้ปราณอันไม่บริสุทธิ์เกิดขึ้นมาได้อีก  โดยในร่างกายของมนุษย์เรานั้นจะประกอบไปด้วยท่อต่างๆ มากมาย  แต่มีท่อหลักๆ เป็นหัวใจสำคัญอยู่  3 ท่อ  คือ  ท่อกลาง  ท่อขวา  และท่อซ้าย  ท่อที่สำคัญที่สุดของเราก็คือท่อกลาง  ที่พาดผ่านจุดกึ่งกลางของร่างกาย  อันเป็นที่ตั้งของจักรต่างๆ  ซึ่งโดยปกติแล้ว  ปราณในร่างกายจะไม่สามารถผ่านเข้าไปในท่อกลางนี้ได้เลย  เว้นแต่ภาวการณ์ใกล้ตาย  ที่จิตละเอียดอ่อนอย่างที่สุดจะเคลื่อนผ่านท่อนี้ออกไปจากกายหยาบเพื่อเข้าสู่ภาวะบาร์โด หรือ อันตรภพ อันเป็นสภาวะระหว่างการตายกับการเกิด ทั้งนี้ใน คัมภีร์ตันตระ ขั้นสูงได้มีการระบุถึงการฝึกฝนเพื่อให้ท่อกลางของกายหยาบได้เปิดออก เพื่อจะใช้เป็นวิธีการในอันที่จะบรรลุถึงการรู้แจ้ง แต่ในเบื้องต้นสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจก่อนก็คือการชำระล้างปราณอันไม่บริสุทธิ์ที่ไหลเวียนท่อซ้ายและท่อขวาของร่างกายเราอันเป็นสาเหตุของความคิดด้านลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น



            วิธีการฝึกสมาธิเพื่อการชำระล้างปราณภายในให้บริสุทธิ์ในที่นี้มีชื่อว่า การชำระล้าง ๙ ครั้งเนื่องจากเป้าหมายของวิธีการฝึกฝนเช่นนี้ก็เพื่อชำระล้างปราณ ดังนั้นวิธีการฝึกต้องสัมพันธ์กับการควบคุมลมหายใจ ทั้งนี้ในทางตันตระถือกันว่าปราณอันไม่บริสุทธิ์จะเริ่มต้นที่ท่อขวาของร่างกายดังนั้นกระบวนการชำระล้างจึงเริ่มที่ต้องกักกันท่อขวาก่อน โดยเราเริ่มจากกำหมัดมือซ้าย โดยใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือซ้ายแตะไปที่นิ้วนางซ้าย จากนั้นใช้นิ้วที่เหลือทั้งสี่ปิดทับนิ้วหัวแม่มือไว้ แล้วใช้หมัดซ้ายนี้ กดไปบริเวณซี่โครงขวาในระดับเดียวกับข้อศอกขวา
            จากนั้นเรากำหมัดมือขวาแบบเดียวกัน แต่คราวนี้เหยียดนิ้วชี้ออก จากนั้นใช้นิ้วชี้ด้านที่มีเล็บกดปิดรูจมูกด้านซ้าย แล้วเริ่มหายใจเข้าผ่านทางรูจมูกด้านขวาอย่างสม่ำเสมอ ให้ลมหายใจเข้าของเรานั้นละเอียด นุ่มนวล พร้อมๆ กับการสร้างจินตนาการว่าพลังแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านทางรูจมูกขวา ในรูปของลำแสงสว่างมีขาว จนเรารู้สึกได้ถึงพลังแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เหล่านี้ได้อำนวยพรให้จิตของเรานั้นสะอาด  สว่าง  และสงบ  การหายใจเข้าแบบนี้  เราจะต้องฝึกการหายใจเข้าลึกๆ  และเต็มปอด  จากนั้นกลั้นลมหายใจไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
            จากนั้นเมื่อจะหายใจออก  เราเลื่อนนิ้วชี้ขวาด้านที่ไม่มีเล็บมาปิดที่รูจมูกขวาแทน  แล้วค่อยๆหายใจออกผ่านรูจมูกซ้ายอย่างนุ่มนวล  แผ่วเบาเป็นจำนวน  3 ครั้ง เท่าๆกันพร้อมๆกับจินตนาการว่าปราณที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งปวง  โดยเฉพาะที่มีอยู่ในร่างการซีกซ้ายของเราได้ถูกขับออกมาในรูปของแสงสีดำ  นี่คือ  การชำระล้าง  3 ครั้ง
           จากนั้นเราจะชำระล้าง  3  ครั้งที่สอง  ด้วยการยังคงใช้นิ้วชี้ขวาปิดรูจมูกขวาอยู่เช่นเดิม  แล้วเราจะเริ่มการหายใจเข้าสู่รูจมูกซ้ายอย่างช้าๆ  ลึกๆ  และนุ่มนวลแผ่วเบาที่สุด  พร้อมกับการจินตนาการว่าลำแสงสีขาวแห่งพลังของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเราและอำนวยพรให้จิตใจของเรา  เราควรจะพยายามรักษาสำผัสเช่นนี้  และกลั้นลมหายใจของเราให้นานที่สุดจนกว่าที่เราจะทนไม่ได้



            จากนั้นเราจึงหายใจออก  โดยการเลื่อนนิ้วชี้ขวารูจมูกซ้าย   แล้วหายใจออกผ่านรูจมูกขวาเพื่อการขับปราณอันไม่บริสุทธิ์ออกไปในรูปของแสงสีดำอีก  3 ครั้งเท่าๆกัน  ซึ่งจะช่วยในการชำระล้างปราณที่ไม่บริสุทธิ์ของเรา  โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ทางซีกขวาของร่างกาย
            ส่วนการชำระล้าง  3 ครั้งสุดท้าย  นั้น เราจะทำการชำระล้างผ่านรูจมูกทั้งสองข้าง  ดังนั้นคราวนี้เราสามารถเปลี่ยนการวางมือแบบสมาธิทั่วๆ ไปได้  คือ การหงายฝ่ามือขึ้น  ให้มือขวาทับมือซ้าย  แล้วปลายนิ้วหัวแม่มือแตะกัน  ให้มือวางใกล้กับร่างกายโดยตํ่ากว่าสะดือเล็กน้อย
             แล้วเราเริ่มการหายใจเข้าอย่างช้าๆ  อย่างละเอียดนุ่มนวล  ผ่านทางรูจมูกทั้งสองข้าง  พร้อมกับการจินตนาการถึงแสงสีขาวเช่นเดิม  จนเรานั้นสำผัสได้ว่า  พลังแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงได้ประสานกลมกลืนเข้าไปในจิตใจของเรา  จนจิตเรานั้นจะสงบยิ่งขึ้น  จากนั้นเมื่อหายใจออก  เราจินตนาการได้ว่า  ปราณที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมด  ไม่ว่าจะท่อซ้าย  หรือท่อขวา  หรือท่อย่อยอื่นทั้งหมดของร่างกาย  ได้ถูกชำระล้างขับออกมาในรูปของแสงสีดำ  โดยเราจะหายใจออกอีก  3  ครั้งเท่าๆกัน  เป็นอันว่าสิ้นสุด  การชำระล้าง  9 ครั้ง ในรอบที่หนึ่ง
            จากนั้นเราควรจะเริ่มย้อนกลับไปทำซํ้าอีกหลายๆครั้ง  จนกว่าเราจะรู้สึกได้ว่าร่างกายทั้งหมดนั้นผ่อนคลายและสบายอย่างที่สุด  ขณะเดียวกันนั้นเราสามารถจินตนาการได้ว่า  ปราณที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมดในร่างกายได้ถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์  ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้เป็นอันว่าเราสามารถทำสมาธิ  การชำระล้าง 9 ครั้ง  ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
            การชำระล้าง  9 ครั้ง แบบนังปะนอกจากจะทำให้แสงรัศมีออร่ารอบร่างกายสว่างไสวขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้จิตใจของเรานั้นสงบ  เยือกเย็นขึ้นอย่างฉับพลัน
            กล่าวโดยสรุปได้ว่า  การชำระล้างออร่าแนวธิเบต  คือ  การเข้าถึงภายในของจิตวิญญาณหรือความเป็นแสงนั่นเอง




***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม  เพ็ญสุข***
Phone : 091-5197945, 081-9735945 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น