อิอิ หายไปนานเลยค่ะ ภารกิจของชาตินี่มันยุ่งเหยิงจริงๆ...อุ๊ยๆ ล้อเล่น... ภารกิจประจำวันค่ะ ว่ากันต่อเลยนะคะจากบทที่แล้ว
ภายใต้ศาสตร์เร้นลับสายวัชรยานที่เลื่องลือมานานแสนนาน ในเรื่องการฝึกฝนจิตที่ไม่ค่อยจะแผ่หลายออกไปให้นักปฏิบัติรู้อย่างกว้างขวางนัก
ในแนวคัมภีร์ลับคุรุปัทมาสัมภะวะที่ถ่ายทอดให้เฉพาะระหว่างครูกับลูกศิษย์เท่านั้น ได้เปิดเผยถึงวิธีการปฏิบัติ 4 ขั้นเพื่อความบรรลุแห่งการชำระล้าง โดยเมื่อรับศิษย์เข้ามาปฏิบัติในขั้นใดๆก็ดี ศิษย์จะต้องไม่แพร่งพรายความรู้นี้ไปให้คนอื่น รักษาความรู้ไว้เฉพาะตนเองและศิษย์จะไม่ทราบถึงขั้นตอนการปฏิบัติในขั้นที่
อาจารย์ได้กำหนดให้ทำโดยไม่ปริปากตั้งคำถามแม้แต่คำเดียว เพราะยิ่งจิตใจมุ่งมั่นมากขึ้นเท่าใดเวลาที่จะปฏิบัติในขั้นตอนแรกนี้ จะลดสั้นลงเท่านั้น
โดยรวมแล้วกล่าวได้ว่าการชำระล้างออร่า แนวธิเบตนี้มีวิธีของสีเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงอาจจะผ่านทางจินตนาการ
ภูมิปัญญาของตันตริกหมวกดำ และวัชรปรัชญาที่ว่า “สีคือความว่าง และความว่างคือสี ทั้งสีและความว่างไม่สามารถแยกความแตกต่างจากกันได้
” ถ้า “สี” ที่มองเห็นได้แทนการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่างล่ะก็ “ความว่าง” ที่มองเห็นไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวมันเองเป็น “ความไม่มีอะไร” ความว่างคลอบคลุมทั้ง “การมีบางสิ่งบางอย่าง” และ “ความไม่มีอะไร” ไว้ในตัวมันเองอย่างขัดแย้งกันเอง ตัวอย่างเช่น คนจีนจะเรียกอากาศว่า “ ชี่ที่ว่างเปล่า” ในขณะที่ถุงอากาศอัน “ว่างเปล่า” อาจหมายถึง “ความไม่มีอะไร” สำหรับคนทั่วไปเพราะมันทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์อาจเปลี่ยน “ความไม่มีอะไร” นี้ให้เป็น “การมีบางสิ่งบางอย่าง” โดยวิเคราะห์องค์ประกอบทางกายภาพอันสลับสับซ้อนของมัน ดังนั้น “การมีบางสิ่งบางอย่าง” และ “ความไม่มีอะไร” จึงประกอบกันขึ้นเป็นด้านที่แตกต่างกันของ “ความว่าง” และ “การมีบางสิ่งบางอย่าง” “การมีบางสิ่งบางอย่าง” สำหรับบางคนอาจเป็น “ความไม่มีอะไร” สำหรับคนอื่นแต่ทั้งสองอย่างนี้อาจทั้งอยู่ด้วยกันหรืออาจแยกจากกัน ทั้งนี้แล้วแต่ความประจวบเหมาะในเงื่อนไขต่างๆ ที่นำไปสู่การแปลความหมายของเต๋าหรือวิถีพุทธะ กล่าวคือเต๋าประกอบด้วยอินและหยาง ซึ่งประกอบขึ้นเป็นองค์ รวมทั้งหมดของสรรพสิ่งที่ดำเนินไปตามหลักธรรมชาติ มโนทัศน์ของเต๋านี้ประยุกต์ใช้กับภาวะขึ้นๆ ลงๆ ของสรรพสิ่ง เช่นเดียวกับการเชื่อมโยงจักรวาล และชีวิตมนุษย์กับความกลวงเปล่าอันยิ่งใหญ่หรือนิพพานเข้าด้วยกัน เสมือนกระบวนการแห่งชีวิต, การตาย และการเกิด ที่หลีกเลี่ยงกรรมไม่ได้นั้นเป็นทุกข์ ด้วยกิเลสตันหาของมนุษย์นั่นเอง ที่เป็นเหตุแห่งกรรมทุกข์ และการเวียนว่ายตายเกิด การตระหนักรู้ว่าชีวิตและวัตถุเป็นเพียงมายาทำให้มนุษย์แต่ละคนบรรลุถึงความรู้แจ้ง และภาวะสูงสุดแห่งการรู้แจ้งคือนิพพาน อันเป็นสภาวะแห่งแสงออร่าที่โชติช่วงสว่างไสว เหลือประมาณ 7 สี ที่หมายถึงภาวะที่หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา และการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่ความว่าง ถึงจิตสูงสุดคือ ปราศจากสรรพสิ่งมีสภาพเป็นสูญกายสายรุ้งกลับไปสู่ธรรมชาติที่แท้จริง ในความกลวงเปล่าที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดมีทุกสิ่งและไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างในนิยามได้ด้วยกาละ และเทศะ เสมือนภาพในจักรวาลคุณไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดๆได้แต่อย่างไรก็ตามเมื่อแสงหรือพลังงานผ่านแท่งปริซึม คุณจะมองเห็นสีสายรุ้ง หากปราศจากแท่งแก้วปริซึมก็มีแต่แสงเท่านั้นที่ดำรงอยู่ทว่ามองไม่เห็น
ดังนั้นสเปคตรัมจึงสื่อความหมายของ “สีคือความว่าง” หลินหยุน นักปรัชญาสี อธิบายว่าเจ็ดสีสเปคตรัมเป็นอุปกรณ์สำหรับการทำสมาธิของลามะธิเบตในนิกายตันตริกดำ และตรันตริกแดง “เมื่อพวกเขาทำสมาธิได้ในระดับสูงสุดพวกเขาจะเพ่งไปที่สีทั้งเจ็ด ซึ่งอันตรธานกลายเป็นแสงออร่ามรกตทองก่อนไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
ศาสตร์แห่งการชำระล้างออร่าแนวธิเบต ถือว่ามีความลึกซึ้ง พิสดารเกินจะหยั่งถึงมีการชำระล้างเบญจธาตุที่หมายถึงพลังของธาตุธรรมชาติได้แก่ธาตุไฟ, ธาตุไม้, ธาตุทอง (โลหะ) และธาตุน้ำ ธาตุทั้งห้านี้มิใช่เนื้อสารทางกายภาพแต่เป็นอำนาจและแก่นแท้ของรูป และนามแห่งสรรพสิ่ง
เมื่อผมได้เข้าเฝ้าองค์ทะไลลามะประมุขแห่งศาสนาพุทธวัชรยาน ณ ธรรมศาลา ของอินเดีย ในอ้อมกอดของหิมาลัยนั้น ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
“ เราทุกคนคือผู้ที่อยู่ในห้วงทุกข์จากการดิ้นร้นในวัฏสงสาร ” การเข้าสู่การเป็นแสงจะเป็นการชำระล้างได้ด้วยวิธีการฝึกจิต และพัฒนาออร่ารัศมีเรือนกายและจิตวิญญาณภายในเท่านั้น
นานเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่........
นานเท่าที่ยังมีการเวียนเกิดอยู่........
นานเท่าที่ยังมีผู้คนทุกข์อยู่.......
อาตมาก็จะขออยู่.......
เพื่อขจัดความทุกข์ยากของโลกนี้ ( โอฆสงสาร )
คำกล่าวข้างต้นนี้ เป็นปณิธานพระโพธิสัตว์ที่สืบทอดกันมานานแสนนาน ที่มักจะตอกยํ้าอยู่บ่อยๆ ในพระราชดำรัสของ ( เตนซิน กยัสโส ) ทะไลลามะองค์ที่ 14 ของธิเบตองค์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามการตระหนักถึงทุกๆเซลล์ หรืออณูแห่งร่างกายและจิตวิญาณในฐานะของความเป็นแสงสว่าง เพื่อการชำระล้างออร่า ขึ้นสูงสุดนั้น ในคัมภีร์มรณะที่ชื่อว่า บาร์เดล - โธดอล ( The Tibetan Book of Dead ) หรือ Bardo Thodoi ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญ ที่จะไขประตูลี้ลับ กฤษณาของโลกวิญญาณที่พระลามะธิเบตเขียนขึ้น เพื่อเปิดเผยถึงชีวิตเบื้องหลังความตาย ตายแล้วไปไหน มีอะไรบ้างหลังความตาย ปริบทที่เริ่มตั้งแต่การเตรียมสติก่อนสิ้นใจ การเคลื่อนที่ขั้นแรกของวิญญาณ การเคลื่อนที่ขั้นที่สองของวิญญาณ การเข้าสู่สัจธรรมของวิญญาณ จนถึงการจุติใหม่ และการเดินทางของวิญญาณในภาคภูมิต่างๆ ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง อันวิจิตรตระการ 49 วัน หลังจากการสิ้นลม ( แต่ไม่นับรวมสามวันแรกที่ตายให้นับไปอีก 49 วัน ) ปฏิโลมนัยของแสงย่อมบอกถึงภาวะแห่งจิตที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่แสงเจ็ดสีของโลกวิญญาณ แสงกระจ่าง , แสงดำบนท้องฟ้า , แสงแดงบนท้องฟ้า , แสงขาวบนท้องฟ้า , แสงจากตะเกียงนํ้ามันเนย , แสงแห่งหิ่งห้อย , แสงแห่งควันไฟ , แสงแห่งภาพลอย
ทั้งหมดคือมณฑลแห่งออร่าที่องค์ปัทมะสัมภาวะ ได้กล่าวไว้ในโลกแห่งความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่
การชำระล้างออร่าแบบธิเบตนี้ยังมีวิธีการชำระล้าง 9 ครั้งแบบนังปะ ที่คุณอรอุมา แววศรี ค้นคว้ามาเปิดเผยว่า
ในคัมภีร์ตันตระ ของธิเบตได้ระบุถึงวิธีการต่างๆที่ช่วยให้เราสามารถหยุดมิให้ปราณอันไม่บริสุทธิ์เกิดขึ้นมาได้อีก โดยในร่างกายของมนุษย์เรานั้นจะประกอบไปด้วยท่อต่างๆ มากมาย แต่มีท่อหลักๆ เป็นหัวใจสำคัญอยู่ 3 ท่อ คือ ท่อกลาง ท่อขวา และท่อซ้าย ท่อที่สำคัญที่สุดของเราก็คือท่อกลาง ที่พาดผ่านจุดกึ่งกลางของร่างกาย อันเป็นที่ตั้งของจักรต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ปราณในร่างกายจะไม่สามารถผ่านเข้าไปในท่อกลางนี้ได้เลย เว้นแต่ภาวการณ์ใกล้ตาย ที่จิตละเอียดอ่อนอย่างที่สุดจะเคลื่อนผ่านท่อนี้ออกไปจากกายหยาบเพื่อเข้าสู่ภาวะบาร์โด หรือ อันตรภพ อันเป็นสภาวะระหว่างการตายกับการเกิด ทั้งนี้ใน คัมภีร์ตันตระ ขั้นสูงได้มีการระบุถึงการฝึกฝนเพื่อให้ท่อกลางของกายหยาบได้เปิดออก เพื่อจะใช้เป็นวิธีการในอันที่จะบรรลุถึงการรู้แจ้ง แต่ในเบื้องต้นสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจก่อนก็คือการชำระล้างปราณอันไม่บริสุทธิ์ที่ไหลเวียนท่อซ้ายและท่อขวาของร่างกายเราอันเป็นสาเหตุของความคิดด้านลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น
วิธีการฝึกสมาธิเพื่อการชำระล้างปราณภายในให้บริสุทธิ์ในที่นี้มีชื่อว่า การชำระล้าง ๙ ครั้งเนื่องจากเป้าหมายของวิธีการฝึกฝนเช่นนี้ก็เพื่อชำระล้างปราณ ดังนั้นวิธีการฝึกต้องสัมพันธ์กับการควบคุมลมหายใจ ทั้งนี้ในทางตันตระถือกันว่าปราณอันไม่บริสุทธิ์จะเริ่มต้นที่ท่อขวาของร่างกายดังนั้นกระบวนการชำระล้างจึงเริ่มที่ต้องกักกันท่อขวาก่อน โดยเราเริ่มจากกำหมัดมือซ้าย โดยใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือซ้ายแตะไปที่นิ้วนางซ้าย จากนั้นใช้นิ้วที่เหลือทั้งสี่ปิดทับนิ้วหัวแม่มือไว้ แล้วใช้หมัดซ้ายนี้ กดไปบริเวณซี่โครงขวาในระดับเดียวกับข้อศอกขวา
จากนั้นเรากำหมัดมือขวาแบบเดียวกัน แต่คราวนี้เหยียดนิ้วชี้ออก จากนั้นใช้นิ้วชี้ด้านที่มีเล็บกดปิดรูจมูกด้านซ้าย แล้วเริ่มหายใจเข้าผ่านทางรูจมูกด้านขวาอย่างสม่ำเสมอ ให้ลมหายใจเข้าของเรานั้นละเอียด นุ่มนวล พร้อมๆ กับการสร้างจินตนาการว่าพลังแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านทางรูจมูกขวา ในรูปของลำแสงสว่างมีขาว จนเรารู้สึกได้ถึงพลังแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เหล่านี้ได้อำนวยพรให้จิตของเรานั้นสะอาด สว่าง และสงบ การหายใจเข้าแบบนี้ เราจะต้องฝึกการหายใจเข้าลึกๆ และเต็มปอด จากนั้นกลั้นลมหายใจไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากนั้นเมื่อจะหายใจออก เราเลื่อนนิ้วชี้ขวาด้านที่ไม่มีเล็บมาปิดที่รูจมูกขวาแทน แล้วค่อยๆหายใจออกผ่านรูจมูกซ้ายอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาเป็นจำนวน 3 ครั้ง เท่าๆกันพร้อมๆกับจินตนาการว่าปราณที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งปวง โดยเฉพาะที่มีอยู่ในร่างการซีกซ้ายของเราได้ถูกขับออกมาในรูปของแสงสีดำ นี่คือ การชำระล้าง 3 ครั้ง
จากนั้นเราจะชำระล้าง 3 ครั้งที่สอง ด้วยการยังคงใช้นิ้วชี้ขวาปิดรูจมูกขวาอยู่เช่นเดิม แล้วเราจะเริ่มการหายใจเข้าสู่รูจมูกซ้ายอย่างช้าๆ ลึกๆ และนุ่มนวลแผ่วเบาที่สุด พร้อมกับการจินตนาการว่าลำแสงสีขาวแห่งพลังของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเราและอำนวยพรให้จิตใจของเรา เราควรจะพยายามรักษาสำผัสเช่นนี้ และกลั้นลมหายใจของเราให้นานที่สุดจนกว่าที่เราจะทนไม่ได้
จากนั้นเราจึงหายใจออก โดยการเลื่อนนิ้วชี้ขวารูจมูกซ้าย แล้วหายใจออกผ่านรูจมูกขวาเพื่อการขับปราณอันไม่บริสุทธิ์ออกไปในรูปของแสงสีดำอีก 3 ครั้งเท่าๆกัน ซึ่งจะช่วยในการชำระล้างปราณที่ไม่บริสุทธิ์ของเรา โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ทางซีกขวาของร่างกาย
ส่วนการชำระล้าง 3 ครั้งสุดท้าย นั้น เราจะทำการชำระล้างผ่านรูจมูกทั้งสองข้าง ดังนั้นคราวนี้เราสามารถเปลี่ยนการวางมือแบบสมาธิทั่วๆ ไปได้ คือ การหงายฝ่ามือขึ้น ให้มือขวาทับมือซ้าย แล้วปลายนิ้วหัวแม่มือแตะกัน ให้มือวางใกล้กับร่างกายโดยตํ่ากว่าสะดือเล็กน้อย
แล้วเราเริ่มการหายใจเข้าอย่างช้าๆ อย่างละเอียดนุ่มนวล ผ่านทางรูจมูกทั้งสองข้าง พร้อมกับการจินตนาการถึงแสงสีขาวเช่นเดิม จนเรานั้นสำผัสได้ว่า พลังแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงได้ประสานกลมกลืนเข้าไปในจิตใจของเรา จนจิตเรานั้นจะสงบยิ่งขึ้น จากนั้นเมื่อหายใจออก เราจินตนาการได้ว่า ปราณที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะท่อซ้าย หรือท่อขวา หรือท่อย่อยอื่นทั้งหมดของร่างกาย ได้ถูกชำระล้างขับออกมาในรูปของแสงสีดำ โดยเราจะหายใจออกอีก 3 ครั้งเท่าๆกัน เป็นอันว่าสิ้นสุด การชำระล้าง 9 ครั้ง ในรอบที่หนึ่ง
จากนั้นเราควรจะเริ่มย้อนกลับไปทำซํ้าอีกหลายๆครั้ง จนกว่าเราจะรู้สึกได้ว่าร่างกายทั้งหมดนั้นผ่อนคลายและสบายอย่างที่สุด ขณะเดียวกันนั้นเราสามารถจินตนาการได้ว่า ปราณที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมดในร่างกายได้ถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้เป็นอันว่าเราสามารถทำสมาธิ การชำระล้าง 9 ครั้ง ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
การชำระล้าง 9 ครั้ง แบบนังปะนอกจากจะทำให้แสงรัศมีออร่ารอบร่างกายสว่างไสวขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้จิตใจของเรานั้นสงบ เยือกเย็นขึ้นอย่างฉับพลัน
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การชำระล้างออร่าแนวธิเบต คือ การเข้าถึงภายในของจิตวิญญาณหรือความเป็นแสงนั่นเอง
***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข***
Phone : 091-5197945, 081-9735945
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น