วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ออร่าดีท็อกซ์

4. ออร่าดีท็อกซ์





ตามที่อธิบายไว้ในบทก่อนๆว่า  กายรัศมีออร่าของมนุษย์แต่ละคนมีสภาวะของแสงที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่กระบวนการทางสมอง อารมณ์ จิตใจ และพลังไบโอพลาสมิค (
Bio plasmic Energy ) หรือชี ( Chi ) ซึ่งเป็นกระแสพลังไฟฟ้าที่หมุนเวียนภายในร่างกาย เกิดความเสียสมดุลขึ้น ยังส่งผลให้กายแสงออร่าชั้นต่างๆทั้ง 7- 9 ชั้นชำรุด หมองคลํ้า เกิดรูรั่ว ขมุกขมัว และอาจมีรอยฉีกขาด เป็นช่องโหว่ขึ้นภายในรัศมีจนรั่วไหลออกมา ทำให้ร่างกายและจิตใจ ของบุคคลนั้นประสบปัญหาต่างๆ
วิธีแก้ไขหรือการอุดรูรั่ว ด้วยการกระตุ้นพลัง ปรับเปลี่ยนแสงรัศมีที่ขุ่นมัว มืดหมอง ให้ได้รับการบำบัดเยี่ยวยา ไม่ให้บุคคลดังกล่าวเกิดความห่อเหี่ยว หดหู่ หรือวิตกกังวลจนเกินไป นั้นมีมากมาย หลายวิธี ซึ่งทั้งหมดเราเรียกว่าการทำออร่าดีท็อกซ์
                ปกติ คำว่า ดีท็อกซ์ ( Detox ) นั้น คือกระบวกการล้างพิษ ( Detoxification )ทางร่างกาย อาจจะหมายถึงการขับสารพิษ ( Toxiins ) ต่างๆ  ออกจาก ตั้งแต่การสวนทวารด้วยกาแฟหรือนํ้า การ้างพิษของตับและลำไส้ทั้งหมด , การอบสมุนไพร , การอาบแสงตะวัน , การพอกโคลนบำบัด ( Mind Therapy ) หรือ ทะเลบำบัด ( Thalasso Therapy ) อาจจะมีการเต้นแอโรบิก ในนํ้า และการอดอาหารเป็นต้น
วิธีการล้างพิษข้างต้นนี้ ใช้สำหรับการทำดีท็อกซ์เบื้องต้นเพื่อการกระตุ้นฟื้นฟูสภาพร่างกายให้แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี แต่การทำออร่าดีท็อกซ์ (AURA DETOX )นั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับการบำบัดมากกว่านั้น เพราะเป็นการชะล้างพลังชีวิตหรือจิตวิญาณโดยตรง ถือว่าเป็นที่นิยมกระทำหรือการบำบัดกันแพร่หลายในหมู่ชนกลุ่ม  นิวเอจ( New Age Movement ) ซึ่งถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ชาวตะวันตก ผู้ปฏิเสธแสงสี เทคโนโลยี และความสิวิไลซ์ทางวัตถุในสังคมเมือง อันมีรูปแบบแห่งการชำระล้างที่น่าสนใจ ดังนี้

1.  การชำระล้างออร่าด้วยพลังจักรวาล  ( Universal Energy  ) 

ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า  พลังจักวาลที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในจักวาล  ทั้งในร่างกายมนุษย์ สัตว์และพืช  เป็นพลังงานที่กระจัดกระจายอยู่ในโลกจักรวาล  เป็นพลังที่มีอยู่ตามธรรมชาติ  คล้ายๆ  กับพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  พลังงานแสง  พลังงานในรูปคลื่นสั้นและคลื่นยาว  และรังสีในรูปแบบต่างๆที่เกิดจากการสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวจากหยาบไปหาที่ละเอียดที่สุด  รวมถึงการประณีต  ตั้งแต่ยุค  Big Bang   หรือการระเบิดครั้งใหญ่ของเอกภพ      แต่พลังจักวาล  ถูกค้นพบและนำกลับมาใช้กันจริงๆ  ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน  ในยุคอาณาจักร  แอตแลนติส  ( Atlautis  )  ยุคสร้างมหาปิรามิด  กระทั่งการล่มสลายของอารยะธรรม
                จนกระทั่งเมื่อ  70 ปีก่อนถูกค้นพบและนำออกมาใช้อีกครั้งหนึ่ง  โดยพระภิกษุชาวศรีลังกา  ชื่อ ดาสิรา  นาราดา  ( Dasira Naraoa )  ท่านได้ออกบวชเป็นเวลา  17 ปี  ในขณะที่ออกบวชแสวงหาธรรมะและทดลองใช้วิชาพลังจักรวาลรักษาโรค  ผู้คนจนได้ประจักษ์ในพลังการบำบัด
                ในที่สุดก็ถ่ายทอดวิชาพลังงานจักรวาลนี้  ให้แก่ลูกศิษย์หลายคน  มีตั้งแต่คนไทย  พลเรือตรี  หลวงสุวิชานแพทย์  ( อั๋น สุวรรณภาณุ )  ผู้ที่เป็นอาจารย์  ของอาจารย์เยาวเรศ บุนนาค  ผู้ที่ก่อตั้งศูนย์  พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพในเมืองไทย  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538  เป็นต้นมา
                ส่วนลูกศิษย์ชาวเวียดนาม  เชื้อสายจีน  คือ ดร. เลือง มินห์ ด่าง ( Prot DR. Laong Minh DanG )  นั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาพลังจักรวาล  มาจาก  ลูกศิษย์ของพระอาจารย์  ดาสิรา  นาราดา  ที่เป็นชาวอินเดีย
                อย่างไรก็ตาม  ขณะนี้  ลูกศิษย์รุ่นที่  3  คือ ดร. เลือง มินห์ ด่าง  ได้เผยแพร่วิชาพลังงานจักรวาลไปทั่วโลกกว่า  70 ประเทศ
                แนวคิดวิชาพื้นฐานของจักรวาลนั้น คือ การกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบร่างกาย  การไหลเวียนของพลังชีวิตหรือชี่  หรือลมปราณ  จะผ่านต่อมฮอร์โมนไร้ท่อ  7 ต่อมในร่างกาย  หรือที่โยคี  เรียกว่า   7 จักระ  ตั้งแต่จุดจักระสำคัญบนกระหม่อม  จุดจักระกลางหน้าผาก  จุดจักระกลางลำคอ  , จุดจักระที่หัวใจ  , จุดจักระที่ท้องน้อย  , จุดจักระที่บริเวณกระเพาะปัสสาวะ  และจุดจักระที่บริเวณก้นกบ  โดยมีชื่อเรียกตามจุดจักระต่างๆ  หรือตามจุดต่อมไร้ท่อ
                นอกจากจะกระตุ้นจักระ  ตามจุดที่สำคัญในร่างกายแล้ว  พลังจักรวาลยังกระตุ้นรัศมีการสั่นสะเทือนของกายทิพย์ หรือ แสงออร่า  ให้เกิดความสมดุลและสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย
                แนวคิดในการสั่นสะเทือนของพลังงาน  การไหลเวียนของโลหิต  และกระจายการหมุนเวียนของลมหายใจ  ถือเป็นการปรับออร่า  และการบำบัดโรค  ที่ได้ผลดีอย่างน่าประหลาดใจ  ปฏิกิริยาหรือความรู้สึกของผู้รับพลังงานจักรวาลหรือได้รับการบำบัดรักษาจะมีความแตกต่างกันไป  ตั้งแต่มีความรู้สึกเหมือนมีลมวูบวาบไหลแผ่ซ่าน  เข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว  หรือการสั่นสะเทือนอุ่นร้อนซาบซ่าน  ในบริเวณอวัยวะต่างๆ  ตามร่างกายหรือมีเหมือนกันที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย  แต่มีการเคลื่อนไหวของขุมพลัง  เช่นเดียวกัน
                ความจริงแล้ววิชาพลังจักรวาล  มีการเรียนการสอนในระดับต่างๆ มากมาย  ถึงเป็นวิชาพลังจิตที่มีผู้ที่สนใจมากที่สุดในขณะนี้  เพราะเป็นการรักษาโรคด้วยพลังจิตถึง  399 โรค  ตั้งแต่โรคพื้นฐาน  จนถึงโรคมะเร็ง  โรคเอดส์  โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  และโรคอัมพาต  เป็นต้น
การกระตุ้นต่อมไร้ท่อ  หรือต่อมฮอร์โมนในร่างกาย  ตลอดจนหลักการฟอกเลือดในวิชาพลังจักรวาล  กระตุ้นให้แสงออร่าเกิดการสั่นสะเทือนมาก  โดยมีหลักการของแสงสีบำบัด  ประกอบควบคู่กับจักระทั้ง  7 ดังนี้         

                จักระ  1  ( The  first  Chakra  )  ตั้งอยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก
 (  ฝีเย็บ )  มีชื่อว่า  มูลธาร  ( Mulandhara )  เป็นสีแดงใน  Basa Energy
                จักระ  2  ( The  second  Chakra  )  ตั้งอยู่ปลายหรือล่างสุดของไขสันหลัง  ,  กระดูกสันหลังหรือก้นกบ  มีชื่อว่า  สวาธิษฐาน  ( Sawadhisthana )  เป็นสีส้มในต่อมลูกหมาก , มดลูก
                จักระ  3  ( The  third Chakra  )  ตั้งอยู่ที่กระดูกสันหลังแนวเดียว  กับสะดือ  มีชื่อว่า มณีปุระ  ( Manipura )  เป็นสีเหลืองในต่อมอะดรีนอย
                จักระ  4  ( The  fourth Chakra )  ตั้งอยู่ที่กระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจ  มีชื่อว่า  อนาหตะ  ( Anahata )  เป็นสีเขียวในต่อมไทมัส
จักระ  5  ( The fifth Chakra )  ตั้งอยู่ตรงกระดูกต้นคอ  มีชื่อว่า  วิสุทธิ
( Vishuddhi )  เป็นสีฟ้าในต่อมไทรอยด์  , พาราไทรอยด์
                จักระ  6  ( The sixth Chakra )  ตั้งอยู่บนกลางหน้าผาก  มีชื่อว่า  อาชณา 
( Ajna ) หรือตาที่สาม  ( The third  eye )  เป็นสีครามในในต่อมพิทูอิทารี
                จักระ  7  ( The seventh Chakra )  ตั้งอญุ่ที่ส่วนกลางหรือสูงที่สุด  ของศีรษะที่เรานั้นเรียกว่า  สหัสสราร  ( Sahasrara )  เป็นสีม่วงหรือสีขาวในต่อมไพเนียล

 หน้าที่ของจักระ

                ผู้ที่เรียนวิชาจักรวาลทุกคนต้องทำความเข้าใจเรื่องหน้าที่ของ จักระให้ดี  จักระเป็นส่วนที่ควบคุมอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย  ผู้ที่จดจำหน้าที่ของแต่ละจักระได้แม่นยำจะแม่นยำในการรักษาโรคด้วย
                จักระ  1  เป็นมูลฐานของจักรอื่นทั้งหมด
                จักระ 2  เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ของชาย  และหญิง กระดูกเชิงกราน ไต  กระเพาะปัสสาวะ  อัณฑะ  รังไข่  ต่อมลูกหมาก  การตั้งครรภ์และการคลอด  ใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับอัณฑะ  ระบบปัสสาวะ  ระบบสืบพันธุ์  อวัยวะสืบพันธุ์  มดลูก  ช่องคลอด  ทวารหนัก  ทวารเบา  กามโรค  ริดสีดวง  เป็นต้น 
                จักระ  3  เกี่ยวข้องกับบริเวณแผ่นหลังช่วงล่าง  ช่วงท้อง  ระบบย่อยอาหาร  กระเพาะอาหาร  ตับ ม้าม ถุงนํ้าดี ตับอ่อน  การขับถ่ายของเสีย  ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับ
กระเพาะอาหาร    ลําไส้ใหญ่  ลําไส้เล็ก  ลําไส้อ่อน  ลําไส้แก่   ขับเหงื่อ  โรคตับอ่อน  ตับแข็ง  เบาหวาน ช่องท้อง ดี ม้าม ไส้ติ่ง มดลุก กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต                        
จักระ  4  เกี่ยวข้องกับหัวใจ  บริเวณช่วงบนของแผ่นหลัง  ทรวงอก  บริเวณปอดด้านล่าง  ระบบการหมุนเวียนของโลหิต  ผิวหนัง  ระดับไขมันในเลือด  ใช้รักษาโรคหัวใจไต  หัวใจเล็ก  หัวใจรั่ว  ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตตํ่า  ไขมันในเส้นเลือด  หัวใจอ่อน  เหนื่อยเร็ว เป็นต้น
                จักระ  5  เกี่ยวข้องกับลำคอ  ขากรรไกร  หู เสียง ปอดส่วนบนและหลอดอาหาร  แขน หลอดคอ  ระบบการหายใจ  โรคผิวหนัง  ใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับปอด  หลอดลมอักเสบ ลำคอ  เกี่ยวกับจมูก  ผื่นคัน  ตาอักเสบ  หูอักเสบ  โรคในช่องปาก  ปวดฟัน  เป็นต้น
            จักระ  6  ควบคุมสติปัญญาความนึกคิด  ความเฉลียวฉลาดของระบบประสาท  หน้า ดวงตา หู จมูก สำหรับการรักษาโรคด้วยจักระ  6 นั้น
            จักระ  7  เกี่ยวข้องกับกะโหลกศีรษะ  ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย  เป็นศูนย์รวบรวมของจักระอื่นทั้งหมด เป็นจุดที่รับพลังจักรวาล  และส่งกระจายไปทั่วทั้งร่างกาย  ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับโรคประสาท  ข้อต่อของกระดูก  อวัยวะทั้งหมดของร่างกายที่ไม่อยู่ในความควบคุมของจักระอื่น  โรคที่เกี่ยวกับสมอง ตา หู  อวัยวะในช่องปาก  โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทของร่างกาย  ระบบกล้ามเนื้อ  ไทรอยด์ ต่อมทอนซิล  กล่องเสียง เป็นต้น
                การชำระล้างออร่าด้วยจักระทั้ง  7 นี้ ของพลังงานจักรวาลนั้นสามารถจะกระทำได้ด้วยวิธีการต่างๆ  มากมาย  ตั้งแต่การเปล่งเสียง  เพื่อภาวะแห่งออร่า  ดังนี้
                                ลาม  (  Law  )                        สำหรับจักระที่หนึ่ง
                                วาม  (  Vam  )                        สำหรับจักระที่สอง
ราม  (  Ram  )                        สำหรับจักระที่สาม
ยาม  (  Yam  )                       สำหรับจักระที่สี่
ฮาม  (  Ham  )                       สำหรับจักระที่ห้า
ฆาม  (  Ksham  )                   สำหรับจักระที่หก
โอม  (  Ow  )                          สำหรับจักระที่เจ็ด
การเปล่งเสียงออกมาจะทำให้ในแต่ละจักระเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเป็นการชำระล้างจักระไปในตัวและเป็นการเคลื่อนพลังออร่าทั้ง 7 ชั้นรอบร่างกาย ดังรูป


การชำระล้างออร่าด้วยพลังจักรวาล  อาจจะทำได้หลายวิธี  ตั้งแต่การเคลื่อนพลังจักระ  การทำสมาธิการกำหนดแสงสี  และการใช้ อัญมณีวางบนจักระทั้ง 7
อาจจะใช้วิธีการอาบแสงรุ้งกินนํ้าทั้ง 7 สี  ที่จะช่วยให้พลังชีวิตเกิดความสมดุลย์   โดยการกำหนดแสงแต่สีในจุดที่ตั้งของจักระต่างๆ  จากสีแดง , สีส้ม , สีเขียว , สีเหลือง , สีฟ้า , สีคราม และสีม่วง หรือสีทอง  โดยให้ใช้ความรู้สึกว่า  เรากำลังลูบไล้แสงตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบ่า  ค่อยๆ ลูบช้าๆ ตะล่อมๆ ไปรอบๆ ทั่วร่างกายผ่านหัวใจ , ท้องน้อย , จักรเพศ หรือกระเพาะปัสสาวะ  จนถึงทุกเซลล์ และอณูในลมปราณที่ถูกปลุกเร้าด้วยภาวะของจิตที่ตื่นตัวภายในสมาธิที่ตั้งมั่น

                ทั้งนี้ยังไม่รวมการชำระล้างออร่าด้วยพลังจักรวาลของญี่ปุ่น ซึ่งถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกในชื่อที่ว่า  เรกิ ”  โดย ดร. มิเคโอะ อูซุย ค้นพบกุญแจสำคัญในการโคจรพลังงานจักรวาล  จากการอดอาหารเป็นเวลา  21 วัน  ณ ภูเขาคูริ ยาม่า
                เขาได้พบขุมพลังเรกิที่เห็นแสงออร่าวาบใหญ่  พวยพุ่งมาสู่ตัวเขา ณ จุดกึ่งกลางศีรษะทางด้านหน้าหรือจักระ 6 เป็นลำแสงออร่าที่แพรวพรายด้วยฟองสีรุ้งนับล้านๆ สี จนกลายเป็นประกายสีขาวบริสุทธิ์เจิดจำรัสในที่สุด
                ปาฏิหาริย์แห่งการค้นพบและรักษาผู้ป่วยจากโรคต่างๆ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์  จากการใช้พลังงานฝ่ามือหรือ การวางมือบนร่างกายของผู้ป่วย จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของพลังที่ไหลรินออกมาสู่อวัยวะสำคัญนั้นๆ และปลดปล่อยพลังงานหรือการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน ซึ่งเรียกว่าพลังงานแห่งชีวิต (Vital force) ที่ซึมซับเข้าไปสู่ทั่วร่างกายอันเป็นการรักษาซึ่งมีประสิทธิภาพยิ่งนัก 

***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม  เพ็ญสุข***
Phone : 091-5197945, 081-9735945 


1 ความคิดเห็น: