4. ออร่าดีท็อกซ์
ตามที่อธิบายไว้ในบทก่อนๆว่า กายรัศมีออร่าของมนุษย์แต่ละคนมีสภาวะของแสงที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่กระบวนการทางสมอง อารมณ์ จิตใจ และพลังไบโอพลาสมิค ( Bio plasmic Energy ) หรือชี ( Chi ) ซึ่งเป็นกระแสพลังไฟฟ้าที่หมุนเวียนภายในร่างกาย เกิดความเสียสมดุลขึ้น ยังส่งผลให้กายแสงออร่าชั้นต่างๆทั้ง 7- 9 ชั้นชำรุด หมองคลํ้า เกิดรูรั่ว ขมุกขมัว และอาจมีรอยฉีกขาด เป็นช่องโหว่ขึ้นภายในรัศมีจนรั่วไหลออกมา ทำให้ร่างกายและจิตใจ ของบุคคลนั้นประสบปัญหาต่างๆ
วิธีแก้ไขหรือการอุดรูรั่ว ด้วยการกระตุ้นพลัง ปรับเปลี่ยนแสงรัศมีที่ขุ่นมัว มืดหมอง ให้ได้รับการบำบัดเยี่ยวยา ไม่ให้บุคคลดังกล่าวเกิดความห่อเหี่ยว หดหู่ หรือวิตกกังวลจนเกินไป นั้นมีมากมาย หลายวิธี ซึ่งทั้งหมดเราเรียกว่าการทำออร่าดีท็อกซ์
ปกติ คำว่า ดีท็อกซ์ ( Detox ) นั้น คือกระบวกการล้างพิษ ( Detoxification )ทางร่างกาย อาจจะหมายถึงการขับสารพิษ ( Toxiins ) ต่างๆ ออกจาก ตั้งแต่การสวนทวารด้วยกาแฟหรือนํ้า การ้างพิษของตับและลำไส้ทั้งหมด , การอบสมุนไพร , การอาบแสงตะวัน , การพอกโคลนบำบัด ( Mind Therapy ) หรือ ทะเลบำบัด ( Thalasso Therapy ) อาจจะมีการเต้นแอโรบิก ในนํ้า และการอดอาหารเป็นต้น
วิธีการล้างพิษข้างต้นนี้ ใช้สำหรับการทำดีท็อกซ์เบื้องต้นเพื่อการกระตุ้นฟื้นฟูสภาพร่างกายให้แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี แต่การทำออร่าดีท็อกซ์ (AURA DETOX )นั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับการบำบัดมากกว่านั้น เพราะเป็นการชะล้างพลังชีวิตหรือจิตวิญาณโดยตรง ถือว่าเป็นที่นิยมกระทำหรือการบำบัดกันแพร่หลายในหมู่ชนกลุ่ม นิวเอจ( New Age Movement ) ซึ่งถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ชาวตะวันตก ผู้ปฏิเสธแสงสี เทคโนโลยี และความสิวิไลซ์ทางวัตถุในสังคมเมือง อันมีรูปแบบแห่งการชำระล้างที่น่าสนใจ ดังนี้
1. การชำระล้างออร่าด้วยพลังจักรวาล ( Universal Energy )
ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า พลังจักวาลที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในจักวาล ทั้งในร่างกายมนุษย์ สัตว์และพืช เป็นพลังงานที่กระจัดกระจายอยู่ในโลกจักรวาล เป็นพลังที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คล้ายๆ กับพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานแสง พลังงานในรูปคลื่นสั้นและคลื่นยาว และรังสีในรูปแบบต่างๆที่เกิดจากการสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวจากหยาบไปหาที่ละเอียดที่สุด รวมถึงการประณีต ตั้งแต่ยุค Big Bang หรือการระเบิดครั้งใหญ่ของเอกภพ แต่พลังจักวาล ถูกค้นพบและนำกลับมาใช้กันจริงๆ ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน ในยุคอาณาจักร แอตแลนติส ( Atlautis ) ยุคสร้างมหาปิรามิด กระทั่งการล่มสลายของอารยะธรรม
จนกระทั่งเมื่อ 70 ปีก่อนถูกค้นพบและนำออกมาใช้อีกครั้งหนึ่ง โดยพระภิกษุชาวศรีลังกา ชื่อ ดาสิรา นาราดา ( Dasira Naraoa ) ท่านได้ออกบวชเป็นเวลา 17 ปี ในขณะที่ออกบวชแสวงหาธรรมะและทดลองใช้วิชาพลังจักรวาลรักษาโรค ผู้คนจนได้ประจักษ์ในพลังการบำบัด
ในที่สุดก็ถ่ายทอดวิชาพลังงานจักรวาลนี้ ให้แก่ลูกศิษย์หลายคน มีตั้งแต่คนไทย พลเรือตรี หลวงสุวิชานแพทย์ ( อั๋น สุวรรณภาณุ ) ผู้ที่เป็นอาจารย์ ของอาจารย์เยาวเรศ บุนนาค ผู้ที่ก่อตั้งศูนย์ พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพในเมืองไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา
ส่วนลูกศิษย์ชาวเวียดนาม เชื้อสายจีน คือ ดร. เลือง มินห์ ด่าง ( Prot DR. Laong Minh DanG ) นั้นได้รับการถ่ายทอดวิชาพลังจักรวาล มาจาก ลูกศิษย์ของพระอาจารย์ ดาสิรา นาราดา ที่เป็นชาวอินเดีย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ลูกศิษย์รุ่นที่ 3 คือ ดร. เลือง มินห์ ด่าง ได้เผยแพร่วิชาพลังงานจักรวาลไปทั่วโลกกว่า 70 ประเทศ
แนวคิดวิชาพื้นฐานของจักรวาลนั้น คือ การกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบร่างกาย การไหลเวียนของพลังชีวิตหรือชี่ หรือลมปราณ จะผ่านต่อมฮอร์โมนไร้ท่อ 7 ต่อมในร่างกาย หรือที่โยคี เรียกว่า 7 จักระ ตั้งแต่จุดจักระสำคัญบนกระหม่อม จุดจักระกลางหน้าผาก จุดจักระกลางลำคอ , จุดจักระที่หัวใจ , จุดจักระที่ท้องน้อย , จุดจักระที่บริเวณกระเพาะปัสสาวะ และจุดจักระที่บริเวณก้นกบ โดยมีชื่อเรียกตามจุดจักระต่างๆ หรือตามจุดต่อมไร้ท่อ
นอกจากจะกระตุ้นจักระ ตามจุดที่สำคัญในร่างกายแล้ว พลังจักรวาลยังกระตุ้นรัศมีการสั่นสะเทือนของกายทิพย์ หรือ แสงออร่า ให้เกิดความสมดุลและสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย
แนวคิดในการสั่นสะเทือนของพลังงาน การไหลเวียนของโลหิต และกระจายการหมุนเวียนของลมหายใจ ถือเป็นการปรับออร่า และการบำบัดโรค ที่ได้ผลดีอย่างน่าประหลาดใจ ปฏิกิริยาหรือความรู้สึกของผู้รับพลังงานจักรวาลหรือได้รับการบำบัดรักษาจะมีความแตกต่างกันไป ตั้งแต่มีความรู้สึกเหมือนมีลมวูบวาบไหลแผ่ซ่าน เข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว หรือการสั่นสะเทือนอุ่นร้อนซาบซ่าน ในบริเวณอวัยวะต่างๆ ตามร่างกายหรือมีเหมือนกันที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่มีการเคลื่อนไหวของขุมพลัง เช่นเดียวกัน
ความจริงแล้ววิชาพลังจักรวาล มีการเรียนการสอนในระดับต่างๆ มากมาย ถึงเป็นวิชาพลังจิตที่มีผู้ที่สนใจมากที่สุดในขณะนี้ เพราะเป็นการรักษาโรคด้วยพลังจิตถึง 399 โรค ตั้งแต่โรคพื้นฐาน จนถึงโรคมะเร็ง โรคเอดส์ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคอัมพาต เป็นต้น
การกระตุ้นต่อมไร้ท่อ หรือต่อมฮอร์โมนในร่างกาย ตลอดจนหลักการฟอกเลือดในวิชาพลังจักรวาล กระตุ้นให้แสงออร่าเกิดการสั่นสะเทือนมาก โดยมีหลักการของแสงสีบำบัด ประกอบควบคู่กับจักระทั้ง 7 ดังนี้
จักระ 1 ( The first Chakra ) ตั้งอยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก
( ฝีเย็บ ) มีชื่อว่า มูลธาร ( Mulandhara ) เป็นสีแดงใน Basa Energy
จักระ 2 ( The second Chakra ) ตั้งอยู่ปลายหรือล่างสุดของไขสันหลัง , กระดูกสันหลังหรือก้นกบ มีชื่อว่า สวาธิษฐาน ( Sawadhisthana ) เป็นสีส้มในต่อมลูกหมาก , มดลูก
จักระ 3 ( The third Chakra ) ตั้งอยู่ที่กระดูกสันหลังแนวเดียว กับสะดือ มีชื่อว่า มณีปุระ ( Manipura ) เป็นสีเหลืองในต่อมอะดรีนอย
จักระ 4 ( The fourth Chakra ) ตั้งอยู่ที่กระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจ มีชื่อว่า อนาหตะ ( Anahata ) เป็นสีเขียวในต่อมไทมัส
จักระ 5 ( The fifth Chakra ) ตั้งอยู่ตรงกระดูกต้นคอ มีชื่อว่า วิสุทธิ
( Vishuddhi ) เป็นสีฟ้าในต่อมไทรอยด์ , พาราไทรอยด์
จักระ 6 ( The sixth Chakra ) ตั้งอยู่บนกลางหน้าผาก มีชื่อว่า อาชณา
( Ajna ) หรือตาที่สาม ( The third eye ) เป็นสีครามในในต่อมพิทูอิทารี
จักระ 7 ( The seventh Chakra ) ตั้งอญุ่ที่ส่วนกลางหรือสูงที่สุด ของศีรษะที่เรานั้นเรียกว่า สหัสสราร ( Sahasrara ) เป็นสีม่วงหรือสีขาวในต่อมไพเนียล
หน้าที่ของจักระ
ผู้ที่เรียนวิชาจักรวาลทุกคนต้องทำความเข้าใจเรื่องหน้าที่ของ จักระให้ดี จักระเป็นส่วนที่ควบคุมอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย ผู้ที่จดจำหน้าที่ของแต่ละจักระได้แม่นยำจะแม่นยำในการรักษาโรคด้วย
จักระ 1 เป็นมูลฐานของจักรอื่นทั้งหมด
จักระ 2 เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ของชาย และหญิง กระดูกเชิงกราน ไต กระเพาะปัสสาวะ อัณฑะ รังไข่ ต่อมลูกหมาก การตั้งครรภ์และการคลอด ใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับอัณฑะ ระบบปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ อวัยวะสืบพันธุ์ มดลูก ช่องคลอด ทวารหนัก ทวารเบา กามโรค ริดสีดวง เป็นต้น
จักระ 3 เกี่ยวข้องกับบริเวณแผ่นหลังช่วงล่าง ช่วงท้อง ระบบย่อยอาหาร กระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ถุงนํ้าดี ตับอ่อน การขับถ่ายของเสีย ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับ
กระเพาะอาหาร ลําไส้ใหญ่ ลําไส้เล็ก ลําไส้อ่อน ลําไส้แก่ ขับเหงื่อ โรคตับอ่อน ตับแข็ง เบาหวาน ช่องท้อง ดี ม้าม ไส้ติ่ง มดลุก กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
จักระ 4 เกี่ยวข้องกับหัวใจ บริเวณช่วงบนของแผ่นหลัง ทรวงอก บริเวณปอดด้านล่าง ระบบการหมุนเวียนของโลหิต ผิวหนัง ระดับไขมันในเลือด ใช้รักษาโรคหัวใจไต หัวใจเล็ก หัวใจรั่ว ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตตํ่า ไขมันในเส้นเลือด หัวใจอ่อน เหนื่อยเร็ว เป็นต้น
จักระ 5 เกี่ยวข้องกับลำคอ ขากรรไกร หู เสียง ปอดส่วนบนและหลอดอาหาร แขน หลอดคอ ระบบการหายใจ โรคผิวหนัง ใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับปอด หลอดลมอักเสบ ลำคอ เกี่ยวกับจมูก ผื่นคัน ตาอักเสบ หูอักเสบ โรคในช่องปาก ปวดฟัน เป็นต้น
จักระ 6 ควบคุมสติปัญญาความนึกคิด ความเฉลียวฉลาดของระบบประสาท หน้า ดวงตา หู จมูก สำหรับการรักษาโรคด้วยจักระ 6 นั้น
จักระ 7 เกี่ยวข้องกับกะโหลกศีรษะ ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย เป็นศูนย์รวบรวมของจักระอื่นทั้งหมด เป็นจุดที่รับพลังจักรวาล และส่งกระจายไปทั่วทั้งร่างกาย ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับโรคประสาท ข้อต่อของกระดูก อวัยวะทั้งหมดของร่างกายที่ไม่อยู่ในความควบคุมของจักระอื่น โรคที่เกี่ยวกับสมอง ตา หู อวัยวะในช่องปาก โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทของร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อ ไทรอยด์ ต่อมทอนซิล กล่องเสียง เป็นต้น
การชำระล้างออร่าด้วยจักระทั้ง 7 นี้ ของพลังงานจักรวาลนั้นสามารถจะกระทำได้ด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย ตั้งแต่การเปล่งเสียง เพื่อภาวะแห่งออร่า ดังนี้
ลาม ( Law ) สำหรับจักระที่หนึ่ง
วาม ( Vam ) สำหรับจักระที่สอง
ราม ( Ram ) สำหรับจักระที่สาม
ยาม ( Yam ) สำหรับจักระที่สี่
ฮาม ( Ham ) สำหรับจักระที่ห้า
ฆาม ( Ksham ) สำหรับจักระที่หก
โอม ( Ow ) สำหรับจักระที่เจ็ด
การเปล่งเสียงออกมาจะทำให้ในแต่ละจักระเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเป็นการชำระล้างจักระไปในตัวและเป็นการเคลื่อนพลังออร่าทั้ง 7 ชั้นรอบร่างกาย ดังรูป
การชำระล้างออร่าด้วยพลังจักรวาล อาจจะทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การเคลื่อนพลังจักระ การทำสมาธิการกำหนดแสงสี และการใช้ อัญมณีวางบนจักระทั้ง 7
อาจจะใช้วิธีการอาบแสงรุ้งกินนํ้าทั้ง 7 สี ที่จะช่วยให้พลังชีวิตเกิดความสมดุลย์ โดยการกำหนดแสงแต่สีในจุดที่ตั้งของจักระต่างๆ จากสีแดง , สีส้ม , สีเขียว , สีเหลือง , สีฟ้า , สีคราม และสีม่วง หรือสีทอง โดยให้ใช้ความรู้สึกว่า เรากำลังลูบไล้แสงตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบ่า ค่อยๆ ลูบช้าๆ ตะล่อมๆ ไปรอบๆ ทั่วร่างกายผ่านหัวใจ , ท้องน้อย , จักรเพศ หรือกระเพาะปัสสาวะ จนถึงทุกเซลล์ และอณูในลมปราณที่ถูกปลุกเร้าด้วยภาวะของจิตที่ตื่นตัวภายในสมาธิที่ตั้งมั่น
ทั้งนี้ยังไม่รวมการชำระล้างออร่าด้วยพลังจักรวาลของญี่ปุ่น ซึ่งถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกในชื่อที่ว่า “ เรกิ ” โดย ดร. มิเคโอะ อูซุย ค้นพบกุญแจสำคัญในการโคจรพลังงานจักรวาล จากการอดอาหารเป็นเวลา 21 วัน ณ ภูเขาคูริ ยาม่า
เขาได้พบขุมพลังเรกิที่เห็นแสงออร่าวาบใหญ่ พวยพุ่งมาสู่ตัวเขา ณ จุดกึ่งกลางศีรษะทางด้านหน้าหรือจักระ 6 เป็นลำแสงออร่าที่แพรวพรายด้วยฟองสีรุ้งนับล้านๆ สี จนกลายเป็นประกายสีขาวบริสุทธิ์เจิดจำรัสในที่สุด
ปาฏิหาริย์แห่งการค้นพบและรักษาผู้ป่วยจากโรคต่างๆ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ จากการใช้พลังงานฝ่ามือหรือ การวางมือบนร่างกายของผู้ป่วย จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของพลังที่ไหลรินออกมาสู่อวัยวะสำคัญนั้นๆ และปลดปล่อยพลังงานหรือการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน ซึ่งเรียกว่าพลังงานแห่งชีวิต (Vital force) ที่ซึมซับเข้าไปสู่ทั่วร่างกายอันเป็นการรักษาซึ่งมีประสิทธิภาพยิ่งนัก
***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข***
Phone : 091-5197945, 081-9735945
ขอบคุณอาจารย์มากครับให้ความรู้ครับ
ตอบลบ