มีหนังสือ ตำหรับ ตำรา ที่อธิบายรายละเอียดของคุณสมบัติแห่งแสงรัศมีออร่า ที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ เรือนกายมากมาย
ในที่นี้ขอสรุปบอกเล่าถึงความเป็นมาของวัฏจักร แห่งสี หรือที่เราเรียกว่า รหัสยนัยแห่งออร่า อันเป็นแสงสว่างที่ห่อหุ้มรอบๆ สิ่งมีชีวิตหรือสสารทั้งหลาย ว่าสีเป็นความถี่ของแสงที่รวมตัวกัน โดยการแยกสีจากแสงด้วยแท่งแก้วสามเหลี่ยมหรือปริซึม ( prism ) ได้ 7 สีโดยสีตามสเปกตรัมนี้ เราเรียกว่า ปรากฏการณ์รุ้งกินนํ้า( Rainbow ) ตามคำอธิบายของนิวตัน ( Sir lsaac Newton ) นักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามชาวอังกฤษ ในปีศริสต์ศักราช 1670 อธิบายเพิ่มเติมว่า แสงสีขาวเกิดจากการผสมกันของแสงสีต่างๆ ทั้ง 7 สี อันได้แก่ สีแดง ( red ) สีส้ม ( Orange ) สีเหลือง ( Yellow ) สีเขียว ( green ) สีฟ้า( blue ) สีคราม ( indgo ) และสีม่วง ( violet )
พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในทางทฤษฏีสีบำบัด ที่เราเรียกว่า “ โฟโตไบโอติกส์ ” มีมาตั้งแต่ยุคกรีก และอียิปต์โบราณ กล่าวว่าแสงสีต่างๆที่ผ่านร่างกายมนุษย์แล้วจะผ่านเข้าไปยังต่อมใต้สมอง และต่อมไฮโปธาลามัส ยังส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาการตอบสนองทางอารมณ์หรือจิตใจในที่สุด
พลังสีหรือแสงออร่า รัสมีเรือนกายนี้เมื่อสะท้อนออกมา จะกระจายรอบๆ ร่างกายมนุษย์แล้ว จะเป็นทั้งแรงกระตุ้นการบำบัดรักษา กระทั่งแรงกดดัน พลังแห่งการสร้างสรรค์ หรือพลังแห่งการต่อต้านทำลายล้าง เป็นสิ่งผลักดันหรือดึงดูดอาจจะปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการกระตุ้นจิตสำนึกในระดับที่ลึกลงไป
พลังแสงออร่า ที่สว่างเรืองรองออกมานั้นเป็นพลังแห่งหยินหยางด้วยมีทั้งสีที่ถือว่าเป็นหยิน ซึ่งจะเป็นสีเย็น ได้แก่ สีเขียว สีเขียวอมฟ้า สีฟ้า และสีม่วง ส่วนสีที่ถือว่าเป็น หยาง ซึ่งจะเป็นสีร้อน อันได้แก่ สีแดงม่วง สีส้ม และสีเหลือง โดยถือว่าเป็นสีที่เป็นหยาง จะให้พลังงานสนามแม่เหล็ก ส่วนที่เป็นหยินจะให้พลังงานไฟฟ้าสถิตย์
อย่างที่กล่าวแล้วว่า รัศมีของแสงที่ออกมาจะให้คุณสมบัติของแสงทั้งสองด้านเสมอ คือ คุณสมบัติในด้านบวกและคุณสมบัติในด้านลบ หรือคุณสมบัติในด้านการส่งเสริมหรือทำลายล้าง และในการก่อให้เกิดแสงสว่างหรือความมืด เป็นต้น
ฉะนั้นพลังแสงออร่า ที่ส่องสว่างในตัวมนุษย์จึงมีปฏิสัมพันธ์ของร่างกายและจิตใจในระบบแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกายที่ให้ระบบความร้อน (Thermal) แสงสว่าง (Luminous) และไฟฟ้า (Eletric) ที่มีผลต่อความเป็นไปของบุคคลแต่ละคน
![]() |
ภาพถ่ายรังสีออร่าจากฝ่ามือ |
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสีแสงออร่า (AURA) ซึ่งมีการค้นคว้าจากการถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายรูปชนิดพิเศษที่พัฒนามาจากกล้องเกอร์เลียน ดังที่กล่าวมาข้างต้น จนวิวัฒนาการมาเป็นกล้องชนิดที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ในปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า กล้องถ่ายภาพออร่า (AURA) อันมีไมโครชิพและระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกทางภาษาเทคนิคว่า ไบโอฟีดแบค (Bio-feedback) อันเป็นปฎิกิริยาชีวภาพที่สามารถถ่ายภาพการเคลื่อนไหวของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในรางกายมนุษย์อันประสานสอดคล้องกับการทำงานของต่อมฮอร์โมนไร้ท่อ ทั้ง 7 ต่อมในอวัยวะต่างๆ ภายใน รวมทั้งสภาวะแห่งการทำงานของคลื่นสมองที่สั่นสะเทือนคลื่นความถี่ตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับต่ำสุดจาก Beat-wave – Alpha wave – Thera wave –DeHa wave – Cosmic wave ออกมาในรูปแบบของภาพถ่ายที่มีแสงรัศมีหลากหลายที่มีค่าแตกต่างกัน
ดร. อรินชัย อรัญกานนท์ ผู้บุกเบิกด้านการค้นคว้าปรากฏการณ์ของภาพถ่ายออร่าในประเทศไทยคนแรก เคยกล่าวว่า การอธิบายเกี่ยวกับแสงออร่าในมนุษย์นั้น จะต้องมีพื้นฐานจากประสบการณ์จริงของรูปถ่านออร่า , ความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ , ความรู้พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา , สมาธิปฏิบัติ ,พุทธปรัชญา และความช่างสังเกตที่ละเอียดอ่อน จึงสามารถอธิบายถึงความหมายของสีที่ปรากฏอยู่บนภาพถ่ายออร่าได้อย่างชัดเจน ในความหมายดังนี้
ภาพถ่ายออร่า (AURA) มีความหมายแบ่งออกได้ 5 หมวด
1. สีแสดงความหมาย พลังงานด้านสุขภาพ ร่างกายของมนุษย์ย่อมมีพื้นฐานคล้ายสิ่งที่เคลื่อนที่ได้ เช่น รถยนต์มีแบตเตอรี่เป็นพลังงาน เมื่อมีการใช้พลังงานไปมากก็ต้องเติมพลังงาน ร่างกายก็เหมือนกันถ้าใช้พลังงานไปมาก หรือพลังงานเสียหายเพราะถูกผ่าตัด มีที่ปรากฏบนภาพก็จะบอกความเข้มจางได้
2. สีแสดงความจิตใจและอารมณ์ ร่างกายมีอวัยวะทำงานสร้างพลังงาน มีสมองเป็นผู้สั่งการเมื่อมีสิ่งที่ทำให้สมองต้องคิดมาก ดีใจ เสียใจ ตื่นเต้น เกลียด สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้สมองทำงานผิดปรกติ อวัยวะทำงานผิดปรกติ เป็นต้นเหตุของอารมณ์ สีของพลังงานก็เปลี่ยนแปลง
3. สีแสดงความหมายพลังงานแปลกปลอม กล้องออร่า (AURA) ถูกสร้างให้จับการทำงานในร่างกายมีสมมุติฐานตารางพลังงาน หากปรากฏมีพลังงานรูปอื่นที่เข้ามาสอดแทรก ย่อมปรากฏเป็นสีบนภาพถ่ายด้วย เช่นพลังงานจากพระเครื่อง หรือพลังงานวิญญาณหรือพลังแฝงเร้นต่างๆ
4. สีแสดงความหมายพื้นฐานสีในอดีต เนื่องจากหลักทางวิทยาศาสตร์กล่าวไว้ว่า สสารไม่สูญหายไปจากโลก พลังงานชีวิตที่เกิดในร่างกาย เมื่อร่างกายสูญสิ้นพลังงานดังกล่าวต้องเปลี่ยนสถานะหากนำหลักคำสอนในพุทธศาสนาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มาเป็นหลักพิจารณา มีบนภาพย่อมบอกถึง สีเดิมที่เคยมีมาได้ด้วยเช่นกัน
5. สีแสดงความหมาย การฝึกฝนหารทำสมาธิหรือการฝึกฝนทางด้านพลังจิต
ความหมายของสีที่ปรากฏในภาพถ่ายเป็นเพียงพื้นฐานหลักเพื่อความเข้าใจ
สีน้ำเงิน หมายถึง
1. พื้นฐานจิตใจเป็นผู้มีความมั่นใจสูงกว่าปรกติ
2. รากฐานพลังงานแข็งแรงต่อต้านโรคต่างๆ ได้ดี ภูมิคุ้มกันสูง
สีม่วง หมายถึง
1. พื้นฐานจิตใจ เป็นผู้ที่มีอุดมคติยึดมั่นถือมั่น
2. รากฐานพลังงานแข็งแรง ฝึกฝนทางด้านสมาธิได้ดี
สีขาว หมายถึง
1. พื้นฐานจิตใจ สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ ทำใจได้
2. รากฐานพลังงานแข็งแรง มีพลังงานแฝง มีทักษะพิเศษ
สีเหลือง หมายถึง
1. พื้นฐานจิตใจ ใจอ่อน มองโลกในแง่ดี มีความเพ้อฝัน
2. รากฐานพลังงานแข็งแรงมีทักษะพิเศษ รู้อนาคต มีญาณบารมี
สีแดง หมายถึง
1. พื้นฐานจิตใจสับสนวุ่นวายเครียด
2. รากฐานพลังงานเริ่มสูญเสียพลังงาน เกี่ยวข้องกับระบบเลือด
สีเขียว หมายถึง
1. พื้นฐานสุขภาพไม่สมบูรณ์ ภูมิต้านทานลดน้อยลง สภาวะเลือดเสีย
2. รากฐานพลังงานถูกทำลาย ร่างกายอ่อนแอ อาจมีผลต่อเนื้องอก
อย่างไรก็ตามพลังแสงออร่าที่ห่อหุ้มร่างกายมนุษย์ยังแบ่งเป็นพลังแสงแห่งชีวิต ที่ประกอบด้วยรัศมีพลังแสงแห่งกุศลกรรม และรัศมีพลังแสงแห่งอกุศลกรรม ตามหลักของพระพุทธศาสนาคือ กรรมดีและกรรมชั่ว ซึ่งมีผลทำให้แสงของรังสีเหล่านี้จะเปล่งปลั่งสดใสหรือซีดหมองดำคล้ำ หรือหดตัวจนเกือบไม่มีสี อันเป็นผลจากการกระทำของแต่ละบุคคลนั่นเอง
พบว่า แสงสว่างจากรังสีออร่าของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตนั้น รัศมีของพลังแสงของสิ่งมีชีวิตจะเปล่งประกายออกมาได้สว่างไสวมากกว่า อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตมีแสงสั่นสะเทือนทางอารมณ์สูงสภาวะจิตมีผลต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นสมองที่แปลความถี่ออกมาในรูปแบบของแสงรัศมีโดยตรง จึงทำให้ออร่าเหมือนรัศมีของมนุษย์ที่มีประกายแสงสว่างสดใส งดงาม ยิ่งกว่าแสงเพชรนิลจินดาหลายเท่า
ในงานเขียนหนังสือชื่อ How To see and Read The Aura ที่เขียนโดย เทค แอนดรูว์(TedAndrews ) นักออร่าบำบัดซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก ได้กล่าวถึงพลังของแสงออร่า ไว้อย่างน่าสนใจว่า
สีแดง ( RED )
พลังสีแดง เป็นพลังที่ร้อนแรง ด้วยไฟแห่งการกระตุ้น ซึ่งเสริมสร้างพลังชีวิตไม่เหือดแห้ง แต่ความเดือดพล่านของสีก็แสดงถึงกิเลสที่รุนแรงด้วยอารมณ์และความต้องการ
แรงปรารถนาอันแรงกล้าจากสีนี้อาจจะหมายถึง ความโกรธ ความรัก ความเกลียด และความแปรปรวนหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึง อาจจะหมายรวมไปถึง การเกิดใหม่และวิวัฒนาการ พลังแห่งสีนี้จะส่งผลไปถึงระบบการหมุนเวียนของโลหิตในร่างกาย ระบบสืบพันธุ์ หรือพลังทางเพศ การตื่นตัวของความสามารถพิเศษ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
หากเป็นสีแดงจัดหรือขุ่นมัวมากจนเกินไป อาจจะสะท้อนถึงการถูกกระตุ้นที่เสียความสมดุล การอักเสบ หรือภาวะการณ์อ่อนไหว ทางอารมณ์ หงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว เฉื่อยชา หรือความตื่นตระหนก ขาดความสุข และจมอยู่ในกองทุกข์ระทม
สีส้ม ( Orange )
พลังสีส้มเป็นพลังแห่งความอบอุ่น เบิกบาน สร้างสรรค์ และกระตือรือร้น บ่งบอกถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว หรือการเปิดรับความรับรู้ใหม่ๆ โดยเฉพาะมุมมองที่ลุ่มลึกข้องชีวิตอันงดงาม
นอกจากนี้ถ้ามีสีส้มมากจนเกินไป จนเป็นสีขุ่นมัวหรือสีซีดอาจจะสะท้อนถึงสภาวะความไม่สมดุลทางอารมณ์ เกิดความกระวนกระวายใจ การโอ้อวด และความหยิ่งยโส ฟุ้งซ่านไร้สาระ
สีเหลือง ( Yellow )
พลังสีเหลือง เป็นสีสว่างที่มีลักษณะโดเด่นเป็นพิเศษ บ่งบอกถึงแสงอาทิตย์ที่กำลังอรุโณทัยไขแสงสะท้อนจิตใจแห่งการเรียนรู้ สติปัญญา และความหยั่งรู้ ที่ลึกซึ้งภายใน เป็นพลังแห่งความคิด อำนาจและการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ ( โดยเฉพาะสีเหลืองซีดถึงสเปกตรัมสีขาว ) เป็นตัวแทนการตื่นตัวภายใน
โทนสีเหลืองเข็มและขุ่น อาจจะบ่งบอกถึง ความขุ่นมัวทางความคิด และการที่วินิจวิเคราะห์มากจนเกินไป เป็นความรู้สึกที่จ้องถูกกีดกัน ที่ไม่ได้รับการยอมรับ ดื้อรั้น หรือต้องการเอาชนะ และถือทิฐิ ในความคิดของตัวเอง
สีเขียว ( Green )
พลังสีเขียว เป็นพลังของสีที่มีอารมณ์อ่อนไหว และเอื้ออาทรมีเมตตาการุณ บ่งบอกให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ ความสงบนิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของบุคคลที่ไว้ใจได้ พึ่งพาอาศัยได้ และมีจิตใจที่เปิดเผย
สีเขียวสดที่ปรากฏอยู่ใกล้แสงออร่าสีนํ้าเงินหรือสีฟ้าในร่างกาย จะแสดงถึงพลังอำนาจในการบำบัด การรักษาโรคภัย หรือพลังแห่งการมีชีวิตชีวาที่สมบูรณ์ ด้วยความแข็งแกร่งหรือมิตรภาพ
ส่วนสีเขียวแก่ทึบหรือสีขุ่นคลํ้า จะบ่งบอกถึง ความลังเล ความตระหนี่ ยิ่งโทนสีขุ่นมากนัก จะสะท้อนถึงความขี้สงสัย ความขี้อิจฉา หรือความเห็นแก่ตัว และความไม่มั่นใจในตัวเอง
สีฟ้า ( Blue )
พลังสีฟ้า เป็นพลังแสงแห่งสงบและสันติสะท้อนถึงความจงรักภักดี ความศรัทธา และความจริงใจ รวมถึงประสาทสัมผัสพิเศษทางจิต เช่น การมีหูทิพย์ หรือ โทรจิต
ส่วนสีฟ้าคลํ้าหรืออ่อนซีด อาจจะหมายถึงระบบประสาทสัมผัสที่ถูกปิดกั้น ภาวะจิตใจที่หดหู่ ความรู้สึกที่เดียวดาย ว้าเหว่ การขาดการยอมรับนับถือ และปัญหาความจำเสื่อม
ในระดับหนึ่งอาจจะสะท้อนถึง สภาวะของการค้นหาชีวิตอันยาวนาน ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระผู้เป็นเจ้าหรือสัจธรรมสูงสุด
หากออกเป็นสีฟ้าเข็มสุดเหมือนสีนํ้าทะเล อาจจะหมายรวมไปถึงการเข้าถึง ความซื่อสัตย์ และการค้นพบในสิ่งที่ถูกต้อง
ถ้าเป็นสีฟ้าขุ่นมัว มักจะสะท้อนถึงด้านลึกภายในจิตใจที่ห่อเหี่ยว บีบคั้น หลงลืมหรือ กระตือรือร้นมากเกินจำเป็น
สีม่วง ( Violet S Purple )
พลังสีม่วงนี้นำมาซึ่งแสงสว่างความอบอุ่น และการวิวัฒนาการ เป็นสีที่หล่อหลวมกายใจเข้าเป็นหนึ่งเดียวอันสะท้อนถึงอิสระเสรี และ ฌาณ รวมทั้งการรับรู้จิตใจด้านในความฝันที่สำคัญ
สีม่วงยังสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้ค้นหา การจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างแยบคาย และถูกต้องแบบผู้รอบรู้
โทนสีม่วงอ่อนและจาง อาจจะสะท้อนถึงการถ่อมตน และเจตนารมณ์อันแรงกล้า
ถ้าม่วงแดงหรือโทนสีคลํ้า หมายรวมถึงกิเลศที่รุนแรง และพลังจิตอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
แต่ถ้าสีม่วงเข็มแก่และขุ่นมืดมัว จะสะท้อนถึงความต้องการที่จะเอาชนะบางสิ่งบางอย่าง หรือจินตนาการทางอารมณ์อันเร่าร้อน รุนแรง ที่มีความโน้มเอียงไปถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การหยิ่งยโส การเรียกร้องความสนใจ และการยกตนข่มท่าน ที่มักปรากฏขึ้นเสมอๆ
สีชมพู ( Pink )
พลังสีชมพูนั้นเป็นสีแห่งการเกื้อการุณ สงสารเห็นใจ เป็นพลังแห่งความรัก ความบริสุทธิ์ สะอาด สะท้อนถึงมิตรภาพ และการปลอบประโลม ความห่วงใย ใฝ่หาและความอบอุ่น ตลอดจนรัศมีสีนี้ อาจหมายถึงการอ่อนน้อมถ่อมตน ในคนนั้นๆ ซึ่งรวมไปถึงจิตวิญญาณแห่งการเข้าถึงศิลปะ ความรัก และความงาม
ถ้าเป็นสีชมพูอ่อนจางซีด ก็สะท้อนถึงความบกพร่องขาดความรอบคอบในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์
ส่วนโทนสีชมพูที่มีโทนขุ่นหมอง จงบ่งบอกถึงความไม่จริงใจหรือขาดความซื่อสัตย์ก็ได้ ในบางมุมยังบ่งบอกถึง ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในมุมของความรัก และศรัทธาในทัศนวิสัยใหม่ๆ
สีทอง ( Gold )
พลังสีทองนั้นเป็นพลังทีสะท้อนถึงจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และอำนาจอันลึกซึ้งในเชิงนามธรรมที่สมบูรณ์แบบ อาจจะสะท้อนไปถึงพลังการสร้างสรรค์ การกระตือรือร้นอย่างสูง และแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ ของเวลาที่กำลังฟื้นฟูความสมดุล หรือ ความสำเร็จอันงดงาม
หากเป็นโทนสีทองที่ขุ่นมัว ก็บ่งบอก คนนั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนของการกระตุ้นจิตวิญญาณในระดับสูง แต่ยังไม่ถึงสภาวะสูงสุด ขณะนี้อาจหมายถึง พลังแห่งการดำเนินไปสู่การเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งหมายถึงคนๆนั้น กำลังพยายามเปลี่ยนธาตุตะกั่ว ในตัวเองให้เป็นทองคำ หรือเปลี่ยนถ่านหินของตัวเขาให้กลายเป็น เพชรเม็ดงาม
สีขาว ( White )
พลังสีขาวนี้เป็นสีพื้นฐาน ที่พบเห็นได้เป็นส่วนใหญ่ในรัศมีร่างกายของมนุษย์ มักจะเห็นเป็นโทนสีที่โปร่งใส โดยมีสีต่างๆ จะรวมเป็นสีขาว โดยตัวมันเองจะปรากฏชัดเจนในรัศมีกาย หากชัดเจนก็จะสะท้อนถึงความจริง และความบริสุทธิ์ แสดงไปถึงว่าคนผู้นั้นได้รับพลังแห่งการชำระล้างในตัวเอง
ที่ขาวสะอาด ผุดผ่อง รัศมีสีขาวสว่างกระจายอยู่รอบๆ หมายรวมไปถึงการปกป้องรักษาที่เข็มแข็ง และการกระตุ้นแห่งการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เช่นกัน
สีเทา ( Gray )
พลังแห่งสีเทา คือพลังสีแห่งการเริ่มต้น การเคลื่อนไหวและการก่อกำเนิดจากภายในที่ค้นพบจากพรสวรรค์ที่มาจากอดีต
โทนสีเทาที่ค่อนข้างไปทางสีเงิน อาจจะบ่งบอกถึงการตื่นตัวพลังทางเพศสตรี ซึ่งเป็นความสามารถในทางจิต สติปัญญา การรับรู้โดยการสัมผัสตรงหรือจินตนาการอันสว่างไสว
ส่วนโทนสีเทาแก่หรือโทนสีเทาคลํ้า มักจะบ่งบอกถึงความไม่สมดุลทางร่างกาย ยิ่งปรากฏให้เห็นในจุดสำคัญบางแห่งในร่างกาย ก็จะบ่งบอกถึงความบกพร่องในส่วนนั้น ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม
ในบางครั้งโทนสีเทามัว อาจจะรวมไปถึง ความต้องการที่จะสะสางงานที่คั่งค้างหรือสิ่งที่คาใจให้ลุล่วง รัศมีสีเทาเข็มที่เปล่งออกมา ก็บอกถึงความเป็นบุคคลที่ลึกลับ ซับซ้อน และออกจากคนชอบสันโดษอยู่ตามลำพัง
สีนํ้าตาล ( Brown )
พลังสีนํ้าตาลเป็นพลังที่มักปรากฏอยู่บ่อยๆ ในรัศมีร่างกาย ทำให้หลายคนคิดว่า หมายถึง ขาดความสมดุล ขาดพลังงาน และกำลังถดถอย แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป สีนํ้าตาลเป็นสีของธาตุดิน พื้นพสุธา เมื่อมันไปปรากฏขึ้นในรัศมีเฉพาะตรงบริเวณเหนือศีรษะ และรอบๆเท้า หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า และความเจริญงอกงามที่เกิดใหม่ ของสิ่งที่ดีงาม และมีแบบแผน
ในกรณีหนึ่งถ้าสีนํ้าตาล มาปรากฏอยู่ตรงใบหน้าหรือพาดผ่าสัมผัสศีรษะ อาจหมายถึง ความไม่สมดุลของพลังงานในร่างกาย ถ้าปรากฏในตําแหน่งที่ตรงกับจักระ หรือบริเวณต่อมฮอร์โมนไร้ท่อตามจุดที่สำคัญของร่างกายนั้นๆ ก็อาจจะต้องการการชำระล้างจุดจักระนั้นๆ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ เป็นไปได้ อาจจะมีการอุดตันของพลังหรือกระแสปราณที่ขัดข้อง
สีนํ้าตาลเป็นสีที่แปลถึงความหมายได้ค่อนข้างยาก ต้องใช้ประสบการณ์ความประณีตในการอ่าน เพราะสีนี้จะแสดงในตำแหน่งที่ผิดปกติในร่างกายได้ง่าย แต่ดูยาก ควรพินิจพิเคราะห์ในการตรวจสอบอย่างด่วนสรุป และเช็คผลจากการอ่านอย่างตรงไปตรงมา
สีดำ ( Black )
พลังสีดำเป็นพลังที่มีสีของความสับสน หมกมุ่นมากมายในรัศมีที่ปรากฏอาจจะหมายถึง โรคร้ายแรง ภาวะแห่งความสิ้นหวัง ความกลัว ความหวาดระแวง และความดับสูญ
แต่ในอีกด้านหนึ่งสีดำเป็นสีแห่งการปกป้องคุ้มครอง เป็นสีที่กันเราจากพลังอันชั่วร้ายภายนอก เมื่อปรากฏในแสงออร่าจะบ่งบอกได้ว่า บุคคลผู้นั้นกำลังปกป้องตัวเอง หรือมีความลับส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้ใครรู้
นอกจากนี้ความเป็นสีดำ จึงหมายถึง ความเข้าใจในภาระที่หนักหน่วง และการเสียสละที่กำลังจะเกิดขึ้น
โดยทั่วไปสีดำ ยังคงแสดงถึงความไม่สมดุลของร่างกายมักปรากฏเป็นสีดำ หรือในบริเวณใดที่เกิดสีคลํ้าหมอง ในร่างกาย จุดที่มีสีคลํ้าหมองก็จะแสดงถึงปัญหาให้ทราบ
ในรัศมีร่างกายรอบนอก สีดำ หมายถึง รูหรือช่องโหว่ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ การทารุณกรรมในเวลาที่ผ่านมา อดีตที่รุ่มเร้า ผู้ที่เคยตกเป็นทาสของสุรา ยาเสพติด หรือการถูกเฆี่ยนตีทำลาย ออร่าที่ปรากฏสีดำนี้จะมีรอยแผ่ขยายหรือรูรั่วฉีกขาดในรัศมีที่ชำรุดให้เห็นจนกว่า ความทรงจำอันโหดร้ายเหล่านี้จะได้รับการบำบัดอย่างหายขาด
ต้องใช้วิธีการวินิจฉัยที่ประณีต จึงจะเข้าถึงการอุดรูรั่วหรือชะล้างออร่าที่ฉีกขาด ด้วยกระบวนการที่ต่อเนื่อง สมบูรณ์แบบจากผู้มีประสบการณ์อย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะเข้ามาบำบัดให้การช่วยเหลือได้
นอกจากแสงสีสเปกตรัม 7 สี ที่ เทค แอนดรูว์ กล่าวไว้แล้วยังมีรัศมีเกร็ดสีเงินระยิบ ระยับ ( Silver Twinkle ) ที่มักปรากฏในรัศมีในร่างกายมนุษย์
แสงเงินอ่อนๆ ระยิบระยับนี้ บ่งบอกถึงความหมาย ในแสงรัศมีสีนํ้าเงินนี้ เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์ และความอุดมสมบูรณ์
เมื่อใดที่ปรากฏในบุคคลใด นั่นย่อม หมายถึง การสร้างสรรค์คืออันยิ่งใหญ่ ในชีวิตของคนนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว
ในสตรีหากปรากฏเกร็ดเงินแวววาว ระยิบระยับรอบรัศมีร่างกาย อาจหมายถึง กำลังมีครรภ์ หรือกำลังจะให้กำเนิดชีวิตใหม่ เป็นกระแสรัศมีที่ก่อเกิดพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นรัศมีของการจุติของมนุษย์คนใหม่ หรือภาวะจิตวิญญาณอันรุ่งโรจน์ นั่นเอง
***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข***
***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข***
Facebook / thai.littletiger
Tel : 091-5197945, 081-9735945